มะเร็งเต้านม เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทุกช่วงอายุ แต่หากเรารู้ทันและตระหนักถึงอาการและสัญญาณเตือนต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเต้านมของเราเอง เช่น:
การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นวิธีที่สำคัญในการค้นหาความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ โดยควรทำอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนหลังจากหมดประจำเดือนประมาณ 5-7 วัน เนื่องจากช่วงเวลานี้เต้านมจะไม่คัดตึง ขั้นตอนในการตรวจเต้านมด้วยตนเองมีดังนี้:
การตรวจแมมโมแกรมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจหามะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โดยเป็นการใช้เอกซเรย์ในการตรวจภาพภายในเนื้อเยื่อเต้านม ซึ่งสามารถตรวจพบก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติที่อาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือ ขั้นตอนการตรวจแมมโมแกรมจะเป็นดังนี้:
การเตรียมตัวก่อนการตรวจ:
การตรวจอัลตราซาวด์เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพของเนื้อเยื่อเต้านม มักใช้ร่วมกับการตรวจแมมโมแกรมเพื่อช่วยให้เห็นรายละเอียดชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีเนื้อเยื่อเต้านมหนา (dense breast tissue) ซึ่งอาจทำให้การตรวจแมมโมแกรมมองเห็นก้อนเนื้อได้ยาก อัลตราซาวด์สามารถช่วยแยกแยะระหว่างก้อนเนื้อที่เป็นของแข็งและถุงน้ำ (cyst) ได้อย่างแม่นยำ
การตรวจ MRI ใช้แม่เหล็กและคลื่นวิทยุในการสร้างภาพรายละเอียดสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติพันธุกรรมหรือมีเนื้อเยื่อเต้านมหนามาก การตรวจ MRI สามารถตรวจพบความผิดปกติที่ไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนจากแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวด์
หากพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น โอกาสในการรักษาหายขาดจะสูงมาก ทั้งนี้การรักษามะเร็งเต้านมจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาดของก้อนเนื้อ และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยวิธีการรักษาในแต่ละระยะอาจประกอบด้วย:
การผ่าตัดเป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งเต้านม โดยมีหลายรูปแบบ เช่น
การให้เคมีบำบัดเป็นการใช้ยาทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังคงอยู่หลังการผ่าตัด หรือเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ อย่างไรก็ตาม เคมีบำบัดอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ผมร่วง และภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะประเมินความเหมาะสมก่อนการรักษา
หากมะเร็งเต้านมชนิดที่ตรวจพบมีการตอบสนองต่อฮอร์โมน (เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือโปรเจสเตอโรน) ฮอร์โมนบำบัดจะใช้ในการป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งเติบโตหรือแพร่กระจาย วิธีการนี้มักใช้ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมชนิดฮอร์โมนรับ (Hormone receptor-positive) ยานี้จะช่วยลดระดับฮอร์โมนหรือปิดกั้นการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
การฉายรังสีใช้ในการทำลายเซลล์มะเร็งในบริเวณที่จำเพาะเจาะจง โดยมักใช้หลังจากการผ่าตัด เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ และป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมาอีก การฉายรังสีมักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดก้อนเนื้อออกไปแล้ว แต่ยังคงมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยวิธีนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำได้
ในกรณีที่มะเร็งเต้านมมีโปรตีนที่เรียกว่า HER2 (Human Epidermal Growth Factor Receptor 2) สูง ยามุ่งเป้าจะใช้ในการปิดกั้นการทำงานของโปรตีนนี้ เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยามุ่งเป้าให้ผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้เคมีบำบัด เพราะจะมุ่งทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็งเท่านั้น
การรักษามะเร็งเต้านมต้องการการดูแลจากทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการประเมินวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาอาจใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี และเคมีบำบัด ซึ่งการวางแผนการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็ง รวมถึงสภาพร่างกายของผู้ป่วย
วิธีลดความเสี่ยงและคำแนะนำในการตรวจสุขภาพเต้านม การป้องกันมะเร็งเต้านมสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพอย่างรอบคอบ เช่น
การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือนช่วยให้คุณสามารถรู้จักความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการตรวจหาก้อนเนื้อ ผิวหนังที่เป็นรอยบุ๋ม หรือการมีน้ำเหลวผิดปกติ การพบความผิดปกติในระยะแรกจะช่วยให้คุณสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ลดโอกาสในการแพร่กระจายของมะเร็ง
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยควบคุมน้ำหนักและระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ
ตัวอย่างของผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม:
การตรวจแมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการค้นหามะเร็งเต้านมในระยะแรกเริ่ม แม้จะไม่มีอาการที่ชัดเจน แมมโมแกรมสามารถตรวจพบก้อนเนื้อที่เล็กมากซึ่งไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือ แนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีความเสี่ยงสูงเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำทุกปี เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษามะเร็งเต้านมในระยะแรกที่ยังสามารถรักษาให้หายได้