|||
TH

รู้ทันมะเร็งเต้านม

รู้ทันมะเร็งเต้านม: ป้องกันและรักษาอย่างไรให้ทันเวลา

มะเร็งเต้านม เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทุกช่วงอายุ แต่หากเรารู้ทันและตระหนักถึงอาการและสัญญาณเตือนต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อาการเริ่มต้นของมะเร็งเต้านม

สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเต้านมของเราเอง เช่น:

  • ก้อนเนื้อหรือความผิดปกติในเต้านมหรือบริเวณรักแร้
  • การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังหรือหัวนม เช่น ผิวหนังเต้านมบวม หัวนมหดตัว หรือเกิดผื่น
  • น้ำเหลืองหรือเลือดที่ไหลออกจากหัวนม

วิธีการตรวจสอบว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่

  • การตรวจเต้านมด้วยตนเอง:

    การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นวิธีที่สำคัญในการค้นหาความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ โดยควรทำอย่างสม่ำเสมอทุกเดือนหลังจากหมดประจำเดือนประมาณ 5-7 วัน เนื่องจากช่วงเวลานี้เต้านมจะไม่คัดตึง ขั้นตอนในการตรวจเต้านมด้วยตนเองมีดังนี้:

    1. สังเกตเต้านมในกระจก: ยืนหน้ากระจกโดยวางมือไว้ที่สะโพก สังเกตรูปร่างของเต้านม ขนาด สี และตำแหน่งของหัวนม หากมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ขนาดเต้านมไม่เท่ากัน ผิวหนังเป็นลักยิ้ม หรือมีรอยแดง ควรสังเกตเพิ่มเติม
    2. ยกแขนเหนือศีรษะ: ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะและสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเต้านม โดยเฉพาะการหดรั้งของผิวหนังหรือหัวนม
    3. ตรวจจับความผิดปกติด้วยการสัมผัส: นอนราบบนเตียงและใช้ปลายนิ้ว 3 นิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง) สัมผัสเต้านม โดยใช้น้ำหนักมือที่แตกต่างกันเพื่อกดที่ผิวเบา ๆ และลึก ๆ เริ่มจากวงกลมรอบเต้านมด้านนอกและค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาจนถึงหัวนม ทำให้แน่ใจว่าคุณตรวจทั่วทั้งเต้านม รวมถึงบริเวณใต้รักแร้ด้วย
    4. บีบหัวนมเบา ๆ: บีบหัวนมเบา ๆ เพื่อตรวจสอบว่ามีของเหลวไหลออกมาหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำนมหรือเลือด หากพบความผิดปกติควรพบแพทย์ทันที
  • การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram):

    การตรวจแมมโมแกรมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจหามะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โดยเป็นการใช้เอกซเรย์ในการตรวจภาพภายในเนื้อเยื่อเต้านม ซึ่งสามารถตรวจพบก้อนเนื้อหรือสิ่งผิดปกติที่อาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือ ขั้นตอนการตรวจแมมโมแกรมจะเป็นดังนี้:

    1. แนะนำให้เริ่มตรวจเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป: ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำทุกปี หรือหากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น ประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม แพทย์อาจแนะนำให้เริ่มตรวจในช่วงอายุน้อยกว่า 40 ปี
    2. ขั้นตอนการตรวจ: การตรวจแมมโมแกรมใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที โดยในขั้นตอนนี้เต้านมของคุณจะถูกกดเบา ๆ ระหว่างเครื่องตรวจแมมโมแกรมเพื่อทำให้เนื้อเยื่อกระจายตัว ซึ่งจะช่วยให้ได้ภาพที่ชัดเจนในการตรวจหาความผิดปกติ การกดเต้านมอาจทำให้รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่กระบวนการนี้มีความสำคัญในการตรวจหาสัญญาณของมะเร็งในระยะแรก ๆ
    3. การเตรียมตัวก่อนการตรวจ:

      • งดทาแป้ง โลชี่น สเปรย์ และลูกกลิ้ง บริเวณลำตัว คอ และรักแร้
      • ควรสวมเสื้อผ้าแบบแยกท่อนบน และล่าง ที่เปลี่ยนได้สะดวก
      • งดเครื่องดื่ม หรืออาหารที่มีสารคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
      • นำผลเก่ามาด้วย เพื่อเปรียบเทียบผลได้ง่าย
      • ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือ สงสัยว่าตั้งครรภ์ โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ ก่อนทำการตรวจ
      • หลีกเลี่ยงการตรวจขณะก่อน หรือหลังการมีประจำเดือน 7 วัน
    4. ความแม่นยำของการตรวจ: แมมโมแกรมสามารถตรวจพบก้อนเนื้อขนาดเล็กที่อาจยังไม่สามารถสัมผัสได้ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและเริ่มต้นการรักษาได้เร็วขึ้น หากพบความผิดปกติที่ไม่สามารถระบุชัดเจนจากการตรวจแมมโมแกรม แพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวด์หรือการตัดชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อตรวจสอบ
  • การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound):

    การตรวจอัลตราซาวด์เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพของเนื้อเยื่อเต้านม มักใช้ร่วมกับการตรวจแมมโมแกรมเพื่อช่วยให้เห็นรายละเอียดชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีเนื้อเยื่อเต้านมหนา (dense breast tissue) ซึ่งอาจทำให้การตรวจแมมโมแกรมมองเห็นก้อนเนื้อได้ยาก อัลตราซาวด์สามารถช่วยแยกแยะระหว่างก้อนเนื้อที่เป็นของแข็งและถุงน้ำ (cyst) ได้อย่างแม่นยำ

  • การตรวจด้วย MRI (Magnetic Resonance Imaging):

    การตรวจ MRI ใช้แม่เหล็กและคลื่นวิทยุในการสร้างภาพรายละเอียดสูง เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติพันธุกรรมหรือมีเนื้อเยื่อเต้านมหนามาก การตรวจ MRI สามารถตรวจพบความผิดปกติที่ไม่สามารถเห็นได้ชัดเจนจากแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวด์

การรักษามะเร็งเต้านมในระยะต่างๆ

หากพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น โอกาสในการรักษาหายขาดจะสูงมาก ทั้งนี้การรักษามะเร็งเต้านมจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาดของก้อนเนื้อ และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยวิธีการรักษาในแต่ละระยะอาจประกอบด้วย:

  1. การผ่าตัด (Surgery):

    การผ่าตัดเป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งเต้านม โดยมีหลายรูปแบบ เช่น

    • การผ่าตัดก้อนเนื้อ (Lumpectomy): การผ่าตัดเพื่อนำก้อนเนื้อร้ายออกไปเฉพาะส่วนที่เป็นมะเร็ง โดยพยายามรักษาเนื้อเยื่อเต้านมส่วนใหญ่ไว้ เป็นวิธีที่นิยมใช้ในผู้ป่วยที่ตรวจพบมะเร็งในระยะเริ่มต้น
    • การผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมด (Mastectomy): ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายหรือมีขนาดใหญ่ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเอาเต้านมออกทั้งหมด แพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม และบางครั้งอาจทำการผ่าตัดเพื่อสร้างเต้านมใหม่ (Breast reconstruction) ในภายหลัง
    • การผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง (Lymph node surgery): หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียง อาจต้องผ่าตัดเพื่อนำต่อมน้ำเหลืองที่ติดเชื้อออก
  2. การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (Chemotherapy):

    การให้เคมีบำบัดเป็นการใช้ยาทำลายเซลล์มะเร็งที่ยังคงอยู่หลังการผ่าตัด หรือเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำ อย่างไรก็ตาม เคมีบำบัดอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ผมร่วง และภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะประเมินความเหมาะสมก่อนการรักษา

  3. การรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด (Hormonal therapy):

    หากมะเร็งเต้านมชนิดที่ตรวจพบมีการตอบสนองต่อฮอร์โมน (เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือโปรเจสเตอโรน) ฮอร์โมนบำบัดจะใช้ในการป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งเติบโตหรือแพร่กระจาย วิธีการนี้มักใช้ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมชนิดฮอร์โมนรับ (Hormone receptor-positive) ยานี้จะช่วยลดระดับฮอร์โมนหรือปิดกั้นการทำงานของฮอร์โมนในร่างกายเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

  4. การฉายรังสี (Radiation therapy):

    การฉายรังสีใช้ในการทำลายเซลล์มะเร็งในบริเวณที่จำเพาะเจาะจง โดยมักใช้หลังจากการผ่าตัด เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ และป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมาอีก การฉายรังสีมักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดก้อนเนื้อออกไปแล้ว แต่ยังคงมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยวิธีนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำได้

  5. การรักษาด้วยยามุ่งเป้า (Targeted therapy):

    ในกรณีที่มะเร็งเต้านมมีโปรตีนที่เรียกว่า HER2 (Human Epidermal Growth Factor Receptor 2) สูง ยามุ่งเป้าจะใช้ในการปิดกั้นการทำงานของโปรตีนนี้ เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยามุ่งเป้าให้ผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้เคมีบำบัด เพราะจะมุ่งทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็งเท่านั้น

  6. การรักษามะเร็งเต้านมต้องการการดูแลจากทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการประเมินวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาอาจใช้หลายวิธีร่วมกัน เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี และเคมีบำบัด ซึ่งการวางแผนการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของมะเร็ง รวมถึงสภาพร่างกายของผู้ป่วย

การป้องกันมะเร็งเต้านม

วิธีลดความเสี่ยงและคำแนะนำในการตรวจสุขภาพเต้านม การป้องกันมะเร็งเต้านมสามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพอย่างรอบคอบ เช่น

  • การตรวจเต้านมเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยง:

    การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือนช่วยให้คุณสามารถรู้จักความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการตรวจหาก้อนเนื้อ ผิวหนังที่เป็นรอยบุ๋ม หรือการมีน้ำเหลวผิดปกติ การพบความผิดปกติในระยะแรกจะช่วยให้คุณสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ลดโอกาสในการแพร่กระจายของมะเร็ง

  • อาหารและการออกกำลังกายช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม:

    การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยควบคุมน้ำหนักและระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ

    ตัวอย่างของผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงและช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม:

    ผัก
    • บร็อคโคลี่ (Broccoli)
    • ผักโขม (Spinach)
    • แครอท (Carrots)
    • คะน้า (Kale)
    • มะเขือเทศ (Tomatoes)
    ผลไม้
    • บลูเบอร์รี่ (Blueberries)
    • สตรอเบอร์รี่ (Strawberries)
    • แอปเปิ้ล (Apples)
    • ส้ม (Oranges)
    • ทับทิม (Pomegranates)
  • การตรวจแมมโมแกรมเป็นวิธีการป้องกันมะเร็งเต้านมที่สำคัญ:

    การตรวจแมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการค้นหามะเร็งเต้านมในระยะแรกเริ่ม แม้จะไม่มีอาการที่ชัดเจน แมมโมแกรมสามารถตรวจพบก้อนเนื้อที่เล็กมากซึ่งไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือ แนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือมีความเสี่ยงสูงเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำทุกปี เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษามะเร็งเต้านมในระยะแรกที่ยังสามารถรักษาให้หายได้

เกล็ดความรู้เรื่องมะเร็งเต้านมและแมมโมแกรมที่คุณไม่ควรพลาด